วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

"ตกสะดุ้ง..."ที่หนองหาน

   คำว่า"ตกสะดุ้ง"ไม่ได้เป็นอาการตกใจอะไรหรอกครับ...แต่"ตกสะดุ้ง" หรือ"ตกกะดุ้ง" แปลว่าการหาปลา ที่ภาษาภาคกลางเรียกว่าการ "ตกยอ"หรือ"ยกยอ"(หาปลา) นั้นเองครับ...
    ตอนเด็ก...ผมอยู่ที่ จ.สกลนครครับ บ้านอยู่ในเมืองคุ้ม วัดโพธิชัย ในเมือง จ.สกลนคร ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับหนองหาน เดิน จากบ้านไปหนองหานก็ ประมาณ สัก 1 กิโลเมตรก็ถึงแล้วหล่ะครับ  ผมอยู่กับยายที่สกลฯ ซึ่งยายแกจะมีกิจกรรมให้ได้ทำเป็นประจำแหละครับ...ซึ่งผมก็ชอบด้วยแหละ... และเป็นการหาอาหารการกิน แบบเศรฐกิจพอเพียง จริงๆครับนั้นคือการออกไปตกสะดุ้ง..ที่หนองหาน

หนองหาน จ.สกลนครครับ
      ยาย...จะเตรียมตัวก่อนไปตกสะดุ้ง...และให้ผมเตรียมด้วยคือ สะดุ้ง(ยอ) ลักษณะเป็นตาข่ายสี่เหลี่ยมจตุรัส ซึ่งยายจะเอาไปย้อมยางมะตอยให้เป็นสีดำไว้แล้ว เข้าใจว่าคงจะให้สีกลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งยายจะเตรียมให้ผมด้วยเป็นสะดุ้ง เล็กๆ ตาข่ายนั้นจะผูกติดกับไม้ไผ่ทั้งสี่มุม(ขาสะดุ้ง)...ที่เหลาอย่างเรียบร้อย ยาวประมาณ 2-3 เมตรเห็นจะได้ซึ่งแล้วแต่ขนาดของสะดุ้งครับ...และลำไม้ไผ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว ไว้เป็นขาหลัก สำหรับยกสะดุ้งครับ (ดูจากภาพด้านล่างก็ได้ครับ...)
         สิ่งที่ต้องเตรียมยังมีอีกครับ ข้องไว้ใส่ปลาครับ(กระชัง) ...ข้องจะใหญ่หน่อยนะ...และจะเอาโฟมผูกติดกับข้องทั้งสองด้าน เหมือนทุ่นลอยน้ำครับ มีเชือกเส้นเล็กๆผูกติดเอวไว้...อีกด้านหนึ่งผูกกับข้องเวลาเรายืนตกสะดุ้งข้องก็จะลอยน้ำอยู่ครับ ส่วนก้นข้องก็จะจุ่มอยู่ในน้ำ...พอได้ปลาใส่ในข้องแล้ว...ปลาก็ยังมีชีวิตอยู่ครับ... รำข้าวก็ต้องมีติดไปบ้างครับเพื่อเป็นการอ่อยเหยื่อล่อปลาครับ...บางครั้งผมเห็นยายเอารำไปคลุกปนกับข้าวเหนียวเพื่อให้รำจับตัวเป็นก้อน ไม่แตกกระจายเวลาอยู่ในน้ำ... ปูนกินหมากยายจะติดไปเสมอเพื่อทากันปลิงเกาะ ที่หนองหานปลิงเยอะมากครับ  กระป๋องไว้ตักปลา และชุดที่เตรียมใส่ ก็เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ถุงเท้ายาว(ใส่กันปลิง) หมวกอีกุบ(หมวกงอบของชาวเวียดนามกันฝนดีมากครับ)...
       ส่วนมากยาย...จะไปตกสะดุ้งตอนฝนตกพรำๆครับยายบอกว่าปลาจะออกมาเยอะในช่วงนี้ครับ...ผมกับยายจะเดินไปหนองหานด้านกรมประมงจังหวัด...พอไปถึงก็ลงมือกางสะดุ้งเลยครับ แล้วก็หาหมายยืนให้เหมาะ ไม่มีพวกวัชพืชขวางมากนัก(จอก แหน ผักตบ) บางครั้งจะออกไปตกตั้งแต่เช้ายันเย็น...ห่อข้าวใส่กระติบข้าวเหนียวไปกิน 
บริเวณหนองหาน ในปัจุบันครับ
      ปลาที่ตกได้ส่วนมากจะเป็นปลาขาว(ปลาเพียนขาว),ปลาหลด(ปลากระทิง),ปลาคับของหรือปลาคาบของฯลฯ
ปลาคับของหรือปลาคาบของ

         ตกสะดุ้ง...ตั้งแต่เช้าจน 1 ทุ่มหรือ 2 ทุ่มโน้นแหนะครับถึงกลับบ้านถ้าวันไหนหมานหน่อย...ปลาแทบเต็มข้องเลยหล่ะครับ...แบกกลับบ้านหลังแอ้เหมือนกัน...พอได้ปลามาก็เทใส่กะละมัง คัดแยกเลยครับ ปลาขาวก็ทำการผ่าท้องควักไส้ แยกไข่ปลา,เครื่องในปลา(รวมขี้ปลาด้วย)เพื่อทำเป็นหมกไข่ปลา หมกขี้ปลา ส่วนตัวปลาก็ย่างกินหรือหมักเกลือตากแห้งไว้กินได้ครับ ปลาคับของ และปลาหลดแกงใส่ใบมะขามอ่อนแซบอีหลีครับ...ปลาหลดปิ้งก็แซบหลาย ปลาคับของถ้าเหลือก็นำไปตากแดดไว้ทอดกินครับกินทั้งก้างสุดยอดมากครับ...เอ่อ..บางครั้งถ้าใช้สะดุ้งตาถี่หน่อยอาจจะได้กุ้งนำมาทำก้อยกุ้ง... คักขนาด ปลากระเดิดก็มีนะ(ปลากระดี่) บางครั้งก็ติดงูตาแหมา(งูปลา) ตกใจเหมือนกัน...
           ผมโชคดีมากครับ...ที่มียายคอยสอนให้รู้จักหากินตั้งแต่เด็กๆ...ผมคิดว่าผมไม่มีวันอดตายหรอกครับชาตินี้...ไม่มีเงิน มีทองไม่เป็นไร แต่ให้ใจคิดทำมาหากินเป็นพอเดี๋ยวเงินทองก็ตามมาเองแหละครับ...  โชคดี สุขภาพแข็งแรงทุกท่านครับ

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

หย้าน "ตกอีปุก!!"

     งงหล่ะสิครับ..."ตกอีปุก" แปลว่าอะไร...ถ้าคนอีสานจะรู้จักคำนี้ดี และผมว่าคนอีสานทุกคนที่เคยอยู่อีสานตั้งแต่เล็กจนโต แล้วย้ายถิ่นฐานเข้ามาเมืองกรุง  หรือตาม จังหวัดที่พูดภาษากลางทั่วไป คงจะเคยเกิดอาการ "ตกอีปุก" กันถ้วนหน้า อาการตกอีปุก คือการพูดภาษาภาคกลาง (ภาษาไทย) ผิดเพี้ยน คือจะพูดกลางแต่ยังออกสำเนียงอีสาน หรือยังมีภาษาอีสานปนๆ ออกมาด้วย อย่างเช่น พูด ช.ช้าง แต่ออกเสียงเป็น ซ.โซ่  เช่น ชักช้า จะออกเป็น ซักซ้า หรือลองสังเกตุ ได้ครับ ว่าคนไหนเป็นคนอีสานถ้าทำให้เขาเจ็บโดยกระทันหัน เขาจะอุทานว่า...
"เอ่อะ!..." แต่คนภาคกลางจะอุทานว่า "โอ้ย!" 
    ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งหล่ะครับ...ที่กลัว ตุกอีปุก อย่างมาก ผมเป็นเด็ก จ.สกลนครครับ เรียนอยู่ที่สกลฯตั้งแต่เด็ก จะพูดภาษา "ย้อ" ครับ เป็นภาษาอีสานอีกแบบครับ...ซึ่งจะต่างจากภาษาอีสานทั่วไป (จ.สกลนคร มีภาษาและวัฒนธรรมหลากหลายมากครับ ไม่ไทยย้อ ,ภูไท ,โซ่ ...หรือแม้แต่ภาษาเวียดนาม เพราะมีคนเวียดนามอาศัยอยู่มากมายครับ) ผมย้ายจากโรงเรียน สกลราชฯ ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดสกลนครครับ ตั้งแต่ปี 2527 ครับ แล้วมาเรียนที่โรงเรียนโพธิสัมพันธิ์ฯ อยู่ที่พัทยาครับ โอ้ย...มาแรกๆ ผม "ตกอีปุก"แหลกเลยครับ ไม่ว่าสำเนียงพูดกลางมันไม่ให้หน่ะครับ และศัพย์แสงภาษากลางนี้ไม่รู้เรื่องเลยครับ อาจารย์ให้ออกไปร้องเพลงหน้าห้องนี้ต้องเพี้ยนเพื่อนๆ ฮาตรึง...  ยิ่งเขาเรียกผัก ผลไม้บางอย่างไม่รู้เลยครับ อย่างเช่น ใบแมงลัก บ้านผมเรียก ผักอีตู่ ใบชะพลูบ้านผมเรียกผักอีเลิด, มะรุม บ้านผมเรียกหมากฮูม  ยิ่งทุกวันนี้ผมยังจำไม่ได้เลยว่า หมากลิ้นไม่ ภาษากลางเขาเรียกว่าอะไร... อ๋อนึกอีกแล้วครับ ...เขาเรียกว่าลิ้นฟ้า หรือเพกาครับ... เอาไว้ว่าว่างๆ จะเล่าให้ฟังใหม่นะครับ...ต้องไปเลือกตั้งแล้วครับ ...โชคดี สุขภาพแข็งแรงทุกท่านครับ

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

งมหอยจอบ...ที่หาดวงศ์อมาตย์ พัทยา

     ผ่านมานานแล้วครับตั้ง  17-18 ปีแล้วหล่ะ...ที่เคยงมหอยจอบ หน้าหาด วงค์อมาตย์ ตอนนั้นลูกสาวยังไม่เกิดเลยครับ... แต่พอนึกขึ้นได้ มันก็เป็นประสบการณ์ ที่ดีเหมือนกันครับ เลยอยากจะเล่าให้ฟังบ้างหน่ะครับ...
     เมื่อก่อนน้ำทะเล...ที่พัทยา ระบบนิเวศน์สมบูรณ์กว่านี้เยอะมากครับสัตว์ทะเลบริเวณชายฝั่งมีให้หากินเยอะแยะมากมายครับ ไม่ว่าจะเป็นพวกปลาตามปะการัง ปลาเก๋า ปลากะรัง ปลาข้างปาน ปลาทรายแดง   ปลาไอ้โซ๊ะ ปลาหมูสี หรือจะเป็นการเบือปลาไอ้แก้ว(โดยการใช้รากไม้ชนิดหนึ่ง) สัตว์พวกปู พวกหอยก็มีมากครับ ไม่ว่าจะเป็นปูลม พวกหอยก็มีหอยกระปุก หอยเสียบ หอยนางรม และหอยจอบ...(แต่ปัจจุบัน ไม่มีแล้วครับ ถึงมีก็น้อยหายากครับ)
      เมื่อก่อนหอยจอบ บริเวณหน้าหาด วงศ์อมาตย์ จะเยอะมากครับตอนนั้นชอบลงไปเล่นน้ำ และบริเวณหน้าหาดจะมีหินกลางน้ำห่างจากฝั่งออกไปประมาณ 30-40 เมตรเห็นจะได้ครับ ถ้าน้ำลงจะเดินไปถึง ในช่วงที่เดินไปก็ไปเหยียบเอาหอยจอบหน่ะสิครับ มันคมมากครับ มันจะโผล่ขึ้นมาจากทรายประมาณ2-3 นิ้วครับ เลยดึงมันขึ้นมาดู โห...มันฝังลงในทรายอีกเป็นคืบ เลยเอาไปถามญาติภรรยาดูว่ามันคือหอยอะไร? (เด็กอีสานไม่รู้ครับช่วงนั้น) ญาติแฟนบอกหอยจอบมันกินได้นะ...เอ็นมันผัดกระเพาะ ผัดฉ่าอร่อยเท่านั้นแหละครับในใจนึกทันทีว่าได้กับแก้มเหล้าอีกแล้วเรา...555 อย่ากระนั้นเลยว่างๆดำหาหอยจอบดีกว่า เพราะวันเสาร์-อาทิตย์ เป็นวันก๊งสุรากับญาติภรรยาอยู่แล้ว 
        ว่าแล้วผมเลยจัดแจงหาหน้ากากดำน้ำ หาหลัว(คนชลบุรีเรียกหลัวแต่ผมเรียกเข่งครับ) และห่วงยางลอยน้ำเพื่อเอาไว้วางหลัว เอาเชือกผูกเอวยาวสัก 3-4 เมตรแล้วอีกด้านหนึ่งนำไปผูกไว้กับห่วงยาง พอลงถึงน้ำได้ก็ว่ายลอยตัวมองลงไปในน้ำที่ใสแจ๋ว เห็นหอยจอบโผล่ขึ้นมา สักนิ้ว สองนิ้ว ก็ดำลงไปโยก... โยก... โยก แล้วก็โยก...จนได้ตัวหลุดขึ้นมาจากพื้นทราย แล้วค่อยโผล่ขึ้นมาโยนหอยไว้ในหลัวครับ ทำอย่างนี้เรื่อยแหละครับ จนหิวข้าวนั้นแหละถึงจะขึ้น...ฝั่งไปหาข้าวกิน ทีนี้พอได้หอยจอบมากพอแล้ว ก็นำไปแซะเอาเฉพาะ เอ็นหอยจอบครับ ส่วนเนื้อที่เหมือนเนื้อหอยแมลงภู่ ผมไม่เคยนำมากินสักที บางคนบอกกินไม่ได้ บางคนบอกกินได้เลยตัดปัญหาไม่กินเลยครับ...
           ดำตั้งนานแกะเอาเอ็นได้นิดเดียวเองครับ ถ้าดำได้ 30 ตัวก็ได้เอ็นหอย 30 ต่อน...เอ้ย...เอ็น ไม่ใช่ต่อน...แฮะ...แฮะ (ภาษาบ้านเกิดแค็ดแร็ดออกมาเลย...) ทีนี้ก็ได้กับแก้มเพิ่มแล้วหล่ะครับ...เอ็นหอยจอบลวกจิ้ม ผัดฉ่า ผัดกระเพา หรือจะเอาไปเผาก็ได้ตามอัธยาศัยครับ...
        หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้น หลังนี้แดง แสบและ 3 วันต่อมาก็ลอกเป็นแผ่นๆเลยหล่ะครับ เพราะดำน้ำตากแดดนั่นเอง มือก็เหมือนกับโดนมีดบาด เพราะโดนเปลือกหอยและเพรียงที่ติดบนตัวหอยบาดเอา แต่ก็แซบมากครับ...เดี๋ยวนี้ไม่มีหอยจอบให้ดำแล้วคร๊าบบบ...
                  โชคดี สุขภาพดีทุกท่านครับ...