วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

"ตกสะดุ้ง..."ที่หนองหาน

   คำว่า"ตกสะดุ้ง"ไม่ได้เป็นอาการตกใจอะไรหรอกครับ...แต่"ตกสะดุ้ง" หรือ"ตกกะดุ้ง" แปลว่าการหาปลา ที่ภาษาภาคกลางเรียกว่าการ "ตกยอ"หรือ"ยกยอ"(หาปลา) นั้นเองครับ...
    ตอนเด็ก...ผมอยู่ที่ จ.สกลนครครับ บ้านอยู่ในเมืองคุ้ม วัดโพธิชัย ในเมือง จ.สกลนคร ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับหนองหาน เดิน จากบ้านไปหนองหานก็ ประมาณ สัก 1 กิโลเมตรก็ถึงแล้วหล่ะครับ  ผมอยู่กับยายที่สกลฯ ซึ่งยายแกจะมีกิจกรรมให้ได้ทำเป็นประจำแหละครับ...ซึ่งผมก็ชอบด้วยแหละ... และเป็นการหาอาหารการกิน แบบเศรฐกิจพอเพียง จริงๆครับนั้นคือการออกไปตกสะดุ้ง..ที่หนองหาน

หนองหาน จ.สกลนครครับ
      ยาย...จะเตรียมตัวก่อนไปตกสะดุ้ง...และให้ผมเตรียมด้วยคือ สะดุ้ง(ยอ) ลักษณะเป็นตาข่ายสี่เหลี่ยมจตุรัส ซึ่งยายจะเอาไปย้อมยางมะตอยให้เป็นสีดำไว้แล้ว เข้าใจว่าคงจะให้สีกลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งยายจะเตรียมให้ผมด้วยเป็นสะดุ้ง เล็กๆ ตาข่ายนั้นจะผูกติดกับไม้ไผ่ทั้งสี่มุม(ขาสะดุ้ง)...ที่เหลาอย่างเรียบร้อย ยาวประมาณ 2-3 เมตรเห็นจะได้ซึ่งแล้วแต่ขนาดของสะดุ้งครับ...และลำไม้ไผ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว ไว้เป็นขาหลัก สำหรับยกสะดุ้งครับ (ดูจากภาพด้านล่างก็ได้ครับ...)
         สิ่งที่ต้องเตรียมยังมีอีกครับ ข้องไว้ใส่ปลาครับ(กระชัง) ...ข้องจะใหญ่หน่อยนะ...และจะเอาโฟมผูกติดกับข้องทั้งสองด้าน เหมือนทุ่นลอยน้ำครับ มีเชือกเส้นเล็กๆผูกติดเอวไว้...อีกด้านหนึ่งผูกกับข้องเวลาเรายืนตกสะดุ้งข้องก็จะลอยน้ำอยู่ครับ ส่วนก้นข้องก็จะจุ่มอยู่ในน้ำ...พอได้ปลาใส่ในข้องแล้ว...ปลาก็ยังมีชีวิตอยู่ครับ... รำข้าวก็ต้องมีติดไปบ้างครับเพื่อเป็นการอ่อยเหยื่อล่อปลาครับ...บางครั้งผมเห็นยายเอารำไปคลุกปนกับข้าวเหนียวเพื่อให้รำจับตัวเป็นก้อน ไม่แตกกระจายเวลาอยู่ในน้ำ... ปูนกินหมากยายจะติดไปเสมอเพื่อทากันปลิงเกาะ ที่หนองหานปลิงเยอะมากครับ  กระป๋องไว้ตักปลา และชุดที่เตรียมใส่ ก็เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ถุงเท้ายาว(ใส่กันปลิง) หมวกอีกุบ(หมวกงอบของชาวเวียดนามกันฝนดีมากครับ)...
       ส่วนมากยาย...จะไปตกสะดุ้งตอนฝนตกพรำๆครับยายบอกว่าปลาจะออกมาเยอะในช่วงนี้ครับ...ผมกับยายจะเดินไปหนองหานด้านกรมประมงจังหวัด...พอไปถึงก็ลงมือกางสะดุ้งเลยครับ แล้วก็หาหมายยืนให้เหมาะ ไม่มีพวกวัชพืชขวางมากนัก(จอก แหน ผักตบ) บางครั้งจะออกไปตกตั้งแต่เช้ายันเย็น...ห่อข้าวใส่กระติบข้าวเหนียวไปกิน 
บริเวณหนองหาน ในปัจุบันครับ
      ปลาที่ตกได้ส่วนมากจะเป็นปลาขาว(ปลาเพียนขาว),ปลาหลด(ปลากระทิง),ปลาคับของหรือปลาคาบของฯลฯ
ปลาคับของหรือปลาคาบของ

         ตกสะดุ้ง...ตั้งแต่เช้าจน 1 ทุ่มหรือ 2 ทุ่มโน้นแหนะครับถึงกลับบ้านถ้าวันไหนหมานหน่อย...ปลาแทบเต็มข้องเลยหล่ะครับ...แบกกลับบ้านหลังแอ้เหมือนกัน...พอได้ปลามาก็เทใส่กะละมัง คัดแยกเลยครับ ปลาขาวก็ทำการผ่าท้องควักไส้ แยกไข่ปลา,เครื่องในปลา(รวมขี้ปลาด้วย)เพื่อทำเป็นหมกไข่ปลา หมกขี้ปลา ส่วนตัวปลาก็ย่างกินหรือหมักเกลือตากแห้งไว้กินได้ครับ ปลาคับของ และปลาหลดแกงใส่ใบมะขามอ่อนแซบอีหลีครับ...ปลาหลดปิ้งก็แซบหลาย ปลาคับของถ้าเหลือก็นำไปตากแดดไว้ทอดกินครับกินทั้งก้างสุดยอดมากครับ...เอ่อ..บางครั้งถ้าใช้สะดุ้งตาถี่หน่อยอาจจะได้กุ้งนำมาทำก้อยกุ้ง... คักขนาด ปลากระเดิดก็มีนะ(ปลากระดี่) บางครั้งก็ติดงูตาแหมา(งูปลา) ตกใจเหมือนกัน...
           ผมโชคดีมากครับ...ที่มียายคอยสอนให้รู้จักหากินตั้งแต่เด็กๆ...ผมคิดว่าผมไม่มีวันอดตายหรอกครับชาตินี้...ไม่มีเงิน มีทองไม่เป็นไร แต่ให้ใจคิดทำมาหากินเป็นพอเดี๋ยวเงินทองก็ตามมาเองแหละครับ...  โชคดี สุขภาพแข็งแรงทุกท่านครับ

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

หย้าน "ตกอีปุก!!"

     งงหล่ะสิครับ..."ตกอีปุก" แปลว่าอะไร...ถ้าคนอีสานจะรู้จักคำนี้ดี และผมว่าคนอีสานทุกคนที่เคยอยู่อีสานตั้งแต่เล็กจนโต แล้วย้ายถิ่นฐานเข้ามาเมืองกรุง  หรือตาม จังหวัดที่พูดภาษากลางทั่วไป คงจะเคยเกิดอาการ "ตกอีปุก" กันถ้วนหน้า อาการตกอีปุก คือการพูดภาษาภาคกลาง (ภาษาไทย) ผิดเพี้ยน คือจะพูดกลางแต่ยังออกสำเนียงอีสาน หรือยังมีภาษาอีสานปนๆ ออกมาด้วย อย่างเช่น พูด ช.ช้าง แต่ออกเสียงเป็น ซ.โซ่  เช่น ชักช้า จะออกเป็น ซักซ้า หรือลองสังเกตุ ได้ครับ ว่าคนไหนเป็นคนอีสานถ้าทำให้เขาเจ็บโดยกระทันหัน เขาจะอุทานว่า...
"เอ่อะ!..." แต่คนภาคกลางจะอุทานว่า "โอ้ย!" 
    ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งหล่ะครับ...ที่กลัว ตุกอีปุก อย่างมาก ผมเป็นเด็ก จ.สกลนครครับ เรียนอยู่ที่สกลฯตั้งแต่เด็ก จะพูดภาษา "ย้อ" ครับ เป็นภาษาอีสานอีกแบบครับ...ซึ่งจะต่างจากภาษาอีสานทั่วไป (จ.สกลนคร มีภาษาและวัฒนธรรมหลากหลายมากครับ ไม่ไทยย้อ ,ภูไท ,โซ่ ...หรือแม้แต่ภาษาเวียดนาม เพราะมีคนเวียดนามอาศัยอยู่มากมายครับ) ผมย้ายจากโรงเรียน สกลราชฯ ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดสกลนครครับ ตั้งแต่ปี 2527 ครับ แล้วมาเรียนที่โรงเรียนโพธิสัมพันธิ์ฯ อยู่ที่พัทยาครับ โอ้ย...มาแรกๆ ผม "ตกอีปุก"แหลกเลยครับ ไม่ว่าสำเนียงพูดกลางมันไม่ให้หน่ะครับ และศัพย์แสงภาษากลางนี้ไม่รู้เรื่องเลยครับ อาจารย์ให้ออกไปร้องเพลงหน้าห้องนี้ต้องเพี้ยนเพื่อนๆ ฮาตรึง...  ยิ่งเขาเรียกผัก ผลไม้บางอย่างไม่รู้เลยครับ อย่างเช่น ใบแมงลัก บ้านผมเรียก ผักอีตู่ ใบชะพลูบ้านผมเรียกผักอีเลิด, มะรุม บ้านผมเรียกหมากฮูม  ยิ่งทุกวันนี้ผมยังจำไม่ได้เลยว่า หมากลิ้นไม่ ภาษากลางเขาเรียกว่าอะไร... อ๋อนึกอีกแล้วครับ ...เขาเรียกว่าลิ้นฟ้า หรือเพกาครับ... เอาไว้ว่าว่างๆ จะเล่าให้ฟังใหม่นะครับ...ต้องไปเลือกตั้งแล้วครับ ...โชคดี สุขภาพแข็งแรงทุกท่านครับ

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

งมหอยจอบ...ที่หาดวงศ์อมาตย์ พัทยา

     ผ่านมานานแล้วครับตั้ง  17-18 ปีแล้วหล่ะ...ที่เคยงมหอยจอบ หน้าหาด วงค์อมาตย์ ตอนนั้นลูกสาวยังไม่เกิดเลยครับ... แต่พอนึกขึ้นได้ มันก็เป็นประสบการณ์ ที่ดีเหมือนกันครับ เลยอยากจะเล่าให้ฟังบ้างหน่ะครับ...
     เมื่อก่อนน้ำทะเล...ที่พัทยา ระบบนิเวศน์สมบูรณ์กว่านี้เยอะมากครับสัตว์ทะเลบริเวณชายฝั่งมีให้หากินเยอะแยะมากมายครับ ไม่ว่าจะเป็นพวกปลาตามปะการัง ปลาเก๋า ปลากะรัง ปลาข้างปาน ปลาทรายแดง   ปลาไอ้โซ๊ะ ปลาหมูสี หรือจะเป็นการเบือปลาไอ้แก้ว(โดยการใช้รากไม้ชนิดหนึ่ง) สัตว์พวกปู พวกหอยก็มีมากครับ ไม่ว่าจะเป็นปูลม พวกหอยก็มีหอยกระปุก หอยเสียบ หอยนางรม และหอยจอบ...(แต่ปัจจุบัน ไม่มีแล้วครับ ถึงมีก็น้อยหายากครับ)
      เมื่อก่อนหอยจอบ บริเวณหน้าหาด วงศ์อมาตย์ จะเยอะมากครับตอนนั้นชอบลงไปเล่นน้ำ และบริเวณหน้าหาดจะมีหินกลางน้ำห่างจากฝั่งออกไปประมาณ 30-40 เมตรเห็นจะได้ครับ ถ้าน้ำลงจะเดินไปถึง ในช่วงที่เดินไปก็ไปเหยียบเอาหอยจอบหน่ะสิครับ มันคมมากครับ มันจะโผล่ขึ้นมาจากทรายประมาณ2-3 นิ้วครับ เลยดึงมันขึ้นมาดู โห...มันฝังลงในทรายอีกเป็นคืบ เลยเอาไปถามญาติภรรยาดูว่ามันคือหอยอะไร? (เด็กอีสานไม่รู้ครับช่วงนั้น) ญาติแฟนบอกหอยจอบมันกินได้นะ...เอ็นมันผัดกระเพาะ ผัดฉ่าอร่อยเท่านั้นแหละครับในใจนึกทันทีว่าได้กับแก้มเหล้าอีกแล้วเรา...555 อย่ากระนั้นเลยว่างๆดำหาหอยจอบดีกว่า เพราะวันเสาร์-อาทิตย์ เป็นวันก๊งสุรากับญาติภรรยาอยู่แล้ว 
        ว่าแล้วผมเลยจัดแจงหาหน้ากากดำน้ำ หาหลัว(คนชลบุรีเรียกหลัวแต่ผมเรียกเข่งครับ) และห่วงยางลอยน้ำเพื่อเอาไว้วางหลัว เอาเชือกผูกเอวยาวสัก 3-4 เมตรแล้วอีกด้านหนึ่งนำไปผูกไว้กับห่วงยาง พอลงถึงน้ำได้ก็ว่ายลอยตัวมองลงไปในน้ำที่ใสแจ๋ว เห็นหอยจอบโผล่ขึ้นมา สักนิ้ว สองนิ้ว ก็ดำลงไปโยก... โยก... โยก แล้วก็โยก...จนได้ตัวหลุดขึ้นมาจากพื้นทราย แล้วค่อยโผล่ขึ้นมาโยนหอยไว้ในหลัวครับ ทำอย่างนี้เรื่อยแหละครับ จนหิวข้าวนั้นแหละถึงจะขึ้น...ฝั่งไปหาข้าวกิน ทีนี้พอได้หอยจอบมากพอแล้ว ก็นำไปแซะเอาเฉพาะ เอ็นหอยจอบครับ ส่วนเนื้อที่เหมือนเนื้อหอยแมลงภู่ ผมไม่เคยนำมากินสักที บางคนบอกกินไม่ได้ บางคนบอกกินได้เลยตัดปัญหาไม่กินเลยครับ...
           ดำตั้งนานแกะเอาเอ็นได้นิดเดียวเองครับ ถ้าดำได้ 30 ตัวก็ได้เอ็นหอย 30 ต่อน...เอ้ย...เอ็น ไม่ใช่ต่อน...แฮะ...แฮะ (ภาษาบ้านเกิดแค็ดแร็ดออกมาเลย...) ทีนี้ก็ได้กับแก้มเพิ่มแล้วหล่ะครับ...เอ็นหอยจอบลวกจิ้ม ผัดฉ่า ผัดกระเพา หรือจะเอาไปเผาก็ได้ตามอัธยาศัยครับ...
        หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้น หลังนี้แดง แสบและ 3 วันต่อมาก็ลอกเป็นแผ่นๆเลยหล่ะครับ เพราะดำน้ำตากแดดนั่นเอง มือก็เหมือนกับโดนมีดบาด เพราะโดนเปลือกหอยและเพรียงที่ติดบนตัวหอยบาดเอา แต่ก็แซบมากครับ...เดี๋ยวนี้ไม่มีหอยจอบให้ดำแล้วคร๊าบบบ...
                  โชคดี สุขภาพดีทุกท่านครับ...

วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เมื่อก่อนบ้าตกปลามาก...เดี๋ยวนี้ไม่มีให้ตกแล้ว

     ผมว่างเว้นจากการตกปลามา 6-7 ปีแล้วครับ  เมื่อก่อนตอนทำงานบริษัท มีวันหยุดไม่ได้ครับต้องออกทะเลตกปลาทันที ผมจะซื้อเรือไว้ตกปลาโดยเฉพาะเลยครับแบบใจมันชอบ...ผมจะออกตั้งแต่เช้า แต่ต้องดูคลื่นลมด้วยครับนะครับ ถ้าคลื่นนิ่งน้ำไหลหล่ะก็ เป็นได้ตัวแน่นอนครับ แรกๆ ผมก็ไม่มีอุปกรณ์อะไรหรอกครับ
    ตอนแรกก็ตกแถวหน้าชายหาด วงค์อมาตย์ พัทยา ตรงนั้นแม่ยายผมจะกางเตียงผ้าใบและขายอาหารให้ฝรั่งอยู่ ก็พายกระดานโต้คลื่นออกไปครับ ด้านนอกจะมีหินกองอยู่ใต้น้ำซึ่งแต่ก่อนปลาจะเยอะมาก ใช้เอ็นตกปลาที่เป็นม้วนๆนี้แหละครับ ผูกเบ็ดถ่วงตะกั่วเข้าไป เยื่อก็ใช้กุ้งทะเลตัวเล็กๆ ใช้มือจับที่เอ็นตกปลาแล้วก็ยกขึ้นยกลง สักพักเดี๋ยวก็ได้ตัว ส่วนมากปลาที่ได้ ก็พวกปลากะลัง(ปลาเก๋าตัวเล็ก)ซึ่งต้มยำทั้งตัวแกล้มเหล้า หรือเป็นกับข้าวอร่อยมาก ถ้าออกไปอีกหน่อยตรงที่ไม่มีหินกอง ก็จะได้ปลาเห็ดโคนครับแกงป่าอร่อยนัก...
   พอตกชักมันเข้าอยากจะตกปลาใญ่หน่ะสิครับเลยซื้อเรือซะเลย เป็นเรือยาวสัก 7 เมตรได้ครับส่วนเครื่องก็เครื่องเรือหางเรานี้เอง ออกไปได้ไกลหน่อยครับทีนี้แรกๆก็ไปแถว เกาะจุ่นหน้าหาดพัทยา ที่มีประภาคารนั้นแหละครับ หินเยอะครับพวกปลาเก๋าลากเข้าหินหมดเบ็ดขาดบ่อย เลยขับเรือออกไปร่องน้ำ ระหว่างเกาะล้านและพัทยา ตรงหมายนี้จะได้พวกปลาทรายแดง และปลาข้างกระเพราเยอะครับเอามาแกงส้ม และก็ออกไปไกลเรื่อยๆครับ ไม่ว่าจะเป็นเกาะนก เกาะสีชังค้างคืนบนเรือเลยครับ ตอนกลางคืนบางที่ก็โสกหมึกมีไฟสีม่วงติดไปด้วยกับไอ้โยครับ(ไอ้โยคือ กุ้งปลอมสำหรับตกหมึกที่สีสดๆนั้นแหละครับ)  ไปตกเกาะสีชังมีบางหมายครับไอ้จี้ได้ตัวบ่อย และมีบางหมายจะเป็นดงปลากระเบน โอ้โห...ถ้าบ้ากำลังตกไอ้เบนนี้รับรองครับเย่อกันมัน
    เดี๋ยวนี้บริเวณหน้าหาดวงค์อมาตย์ไม่ค่อยมีปลาแล้วหล่ะครับ เพราะน้ำเสียจากโรงแรม โรงงานอุตสาหกรรม มิหนำซ้ำเรืออวนลาก ลากหมดครับไม่ว่าปลาเล็กปลาน้อย ปะการัง พวกนี้น่าจะจับบ้างนะครับ น่าเสียดายเดี๋ยวนี้ไม่มีปลากะลังให้ตกอีกแล้วครับ...ไว้มีโอกาสคงออกทะเลอีกครั้งหาหมายดีๆตกปลาครับ...เพราะใจยังชอบอยู่
      โชคดี สุขภาพแข็งแรงทุกท่านครับ

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หลวงปู่ภูพาน ในความทรงจำของผม

      ปี๊ด...ปี๊ด...ปี๊ดดด  เสียงบีบแตรรถยนต์เมื่อขับรถผ่านศาลหลวงปู่ภูพาน บนเทือกเขาภูพาน จ.สกลนคร ตอนเด็กๆผมได้รับทราบเรื่องราว ปาฎิหารย์ เยอะแยะมากมายเกี่ยวกับหลวงปู่ภูพาน ในใจผมคิดว่าหลวงปู่ภูพานคงเป็นแค่เจ้าที่  ที่อยู่บนศาลข้างทางบน ภูพานนั้นเอง แต่...ยังมีพระสงฆ์อีกรูปหนึ่ง ที่ชาวสกลนคร และจังหวัดใกล้เคียง ให้ความศรัทธา
และเคารพนับถือ พระสงฆ์องค์นั้นคือ พระเจน ยุทธนา จิรยุทโธ(หลวงปู่ภูพาน)

      ผมจำได้ว่ายายของผมเป็นศิษย์เอกของหลวงปู่คนหนึ่งหล่ะ เพราะยายของผมจะไปจำวัดที่วัดของหลวงปู่เป็นประจำ บางครั้งผมก็ไปกับยายด้วย ไปแรกๆก็สงสัยเหมือนกันนะ ว่าเอ...หลวงปู่ทำไมยังเด็กอยู่เลย (ตอนนั้นเป็นเณร) เห็นหลวงปู่แรกๆ เดินไม่ใส่รองเท้า บนคอแขวนลูกประคำ เวลาหลวงปู่เทศน์ให้สังเกตุที่เสียงบางครั้งเสียงจะเหมือนคนแก่นะ...ตอนเด็กผมเคยถือบาตรขึ้นไปให้หลวงปู่ที่กุฏิด้วย ตอนนั้นกุฎิหลวงปู่เดินขึ้นไปบนเขา ซึ่งมีรูปปั้นครุฑยกพระพุทธรูปอยู่บนนั้น  กุฏิไม้เล็กๆ ไม่ใหญ่โต ยายของผมพูดคุยเสวนาอย่างเป็นกันเองกับหลวงปู่
    บริเวณวัดของหลวงปู่ภูพาน ผมจำได้เดินลงไปจากวัดจะมีถ้ำที่หลวงปู่เอาไว้จำศิล ภาวนา คนแก่และยายจะบอกเสมอว่าถ้าลงไปในถ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาติจากหลวงปู่จะมีงูเหลือมนอนขวางทาง ผมเคยลงไป 2-3 ครั้ง ต้องมีคนนำทางไปถือตะเกียงลงไปด้วย ถ้ำของหลวงปู่ จะไม่เป็นโพลงปากถ้ำแบบที่เราเห็นทั่วๆไป   แต่จะเป็นลักษณะเป็นปล่องลงไปในซอกหินด้านล้างจะกว้างมีคูหาเป็นห้องๆ จำไม่ได้แล้วว่ามีกี่ห้อง (ถ้ามีโอกาสไป จ.สกลฯจะแวะนมัสการหลวงปู่อีกครั้ง)
      เขาเล่าว่านะ...ตอนที่หลวงปู่ยังไม่ได้บวช ท่านเรียนที่โรงเรียนสกลราชฯ ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นพี่ของผมเอง ท่านจะชอบเรื่องธรรมะ หลวงปู่ภูพานได้เข้ามาสิงร่าง(เท็จจริงอย่างไรไม่ทราบ แค่คนแก่เล่าให้ฟัง) นายเจน ยุทธนา เดชจุ้ย จนต้องมาบวชเป็นเณรก่อนในปี 2519 ณ วัดแก้งกะอาม อ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ โดยมีหลวงปู่สังข์เป็นอุปัชฌาย์  และหลวงปู่ได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2525 ณ วัดราชบพิตร โดยมีสมเด็จพระสังฆราช เป็นพระอุปัชฌาย์  หลวงปู่ภูพานตอนที่ผมเป็นเด็ก  จะได้ยินเรื่องราวปาฏิหารย์ของหลวงปู่ประจำ ไม่ว่าตอนไปบิณฑบาตร บริเวณพระตำหนักภูพานคนใส่บาตรจะเห็นเป็นพระแก่บ้าง และยายยังเล่าให้ฟังอีกว่า หลวงปู่ย่อระยะทางได้ ฯลฯ แต่ถึงได้ยินได้ฟังเรื่องปาฏิหารย์ของหลวงปู่มากมาย แต่ผมไม่เคยเห็นหลวงปู่จะออกหรือทำเครื่องราง ของขลังเลย ผมเคยได้แค่ใบโพธิ์จากหลวงปู่ตอนที่หลวงปู่ไปอินเดียมา หลวงปู่ท่านมีแต่คำสอนให้ และการปฏิบัติดี...
            ใครไปสกลนครแวะหาหลวงปู่ภูพานได้เลยครับที่ วัดบ้านโนนสวรรค์ ต.พังข้วาง จ.สกลนคร เป็นวัดปฏิบัติสาย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต  ผมมีโอกาสไปสกลฯผมต้องแวะแน่นอนครับ เพราะหลวงปู่อยู่ในความทรงจำผมเสมอ...
          หลวงปู่ภูพาน  พระเจนยุทธนา จิรยุทโธ
          โชคดีทุกท่าน สุขภาพแข็งแรง บารมีหลวงปู่ภูพานคุ้มครอง

คิดถึงผักขะยา (ผักปู่ย่า)

       ทุกวันนี้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป การปลูกผักของชาวสวนในปัจจุบันก็มุ่งแต่ในด้านพาณิชย์ซะเป็นส่วนใหญ่...ใช้สารเคมีเข้าช่วยเร่งการเจริญเติบโตเยอะแยะมากมาย...จึงทำให้โรคภัยไข้เจ็บตามมา...เยอะมาก
        ผมนึกถึงตอนสมัยเด็กๆ...ตอนอยู่ต่างจังหวัด(จ.สกลนคร)  ผมจำได้ว่าผมตื่นแต่เช้า ตี 3 ตี 4 เพื่อไปรดน้ำผักสวนครัวที่ช่วยยายปลูกไว้เล็กๆน้อยๆ ใส่ปุ๋ยขี้วัว ขี้ควาย ขี้ไก่ ...พอผักงาม โตกินได้ยายก็ไปตัดเก็บแล้วให้ผมใส่กะละมัง ไปขายตลาด  และบางส่วนก็ใช้รับประทานในครอบครัว มันช่างเป็นภาพที่งดงาม และอยู่ในความทรงจำของผมตลอดเวลา ผมนึกถึงผักพื้นบ้านที่ผมเคยปลูก ผักพื้นบ้านที่ผมเคยกิน ผักบางชนิดผมหากินไม่ได้อีกแล้ว เช่น...
         ผักขะยา หรือผักกาดย่า(บ้านผมทางอิสานเรียก) ภาคกลางเรียกว่า ผักปู่ย่า,ผักช้าเลือด ส่วนภาคเหนือเรียก ผักหนามแด้

     ผักขะยา กินยอดอ่อน ใบอ่อนและดอกยอดและใบอ่อนจะออกช่วงฤดูฝนครับ ส่วนดอกออกในหน้าหนาว ใบอ่อนเป็นผักสดกินกับน้ำพริก ซุปหน่อไม้ หรือซอยใส่ลาบ ส่วนดอกและยอดอ่อนปรุงเป็น "ส้าผัก" มีรสเปรี้ยวและฝาดเผ็ด นึกแล้วชักเปรี้ยวปากอยากกินกับซุปหน่อไม้ของ"แม่ทอน" ที่สกลฯทำจัง...
      โชคดี สุขภาพแข็งแรงทุกท่านครับ

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อาถรรพณ์เลข 13

      ผมสงสัยอีกแล้วครับ...ไม่ทราบว่าทำไมจึงมีคนถือว่าเลข 13 เป็นเลขอัปมงคล และทำไมต้อง "ศุกร์ที่13"ด้วยหล่ะครับ?  เราลองมาหาคำตอบกันครับ...

           ความเชื่อว่าเลข 13 เป็นเลขอัปมงคลนั้น มีที่มาจากศาสนาคริสต์ในยุคต้นๆที่กล่าวกันว่าอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูคริสต์ที่เรียกกันว่า "เดอะ ลาสต์ ซัปเปอร์" (The Last Supper) นั้นมีผู้ร่วมโต๊ะพร้อมหน้ากันกับพระองค์รวม 13 คน และเชื่อว่าวันศุกร์เป็นวันโชคร้ายก็เพราะเป็นวันที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงกางเขน และเป็นวันที่อดัมกับอีฟว์ละเมิดกัดแอปเปิ้นต้องห้ามของพระผู้เป็นเจ้าในสวนเอเดน จนต้องถูกขับไล่ออกมา ยิ่งกว่านั้นยังเชื่อว่าเป็นวันที่ทั้งอดัมและอีฟว์ล้มหายตายจากโลกอีกด้วย ดังนั้นเมื่อวันศุกร์มาตรงกับวันที่ 13 จึงเหมือนเป็นวันมหาอัปมงคลที่เดียว
          แต่เหล่านี้เป็นเรื่องความเชื่อในโชคลางเท่านั้น ซึ่งแม้ยากที่จะขุดค้นต้นตอความจริงมาบอกเล่ากัน แต่คนก็ยังเชื่อกันอย่างกว้างขวาง เช่น นักเดินเรือจะไม่ยอมออกเรือในวันที่ 13 หรือห้องพักตามโรงแรมต่างๆ ในยุโรปก็ไม่ค่อยจะมีห้องเบอร์ 13 และที่อาการหนักกว่าเพื่อนคือ ประเทศตุรกีที่ลงทุนเฉือนเลข 13 ออกไปจากสารบบตัวเลขเลยหล่ะครับ...โชคดี สุขภาพแข็งแรงทุกท่านครับ

ทำไมขนมโดนัท จึงมีรู

        ทุกท่านเคยสงสัยมั๊ยครับว่าทำไม...ขนมโดนัทต้องมีรู?
        ขนมโดนัทซึ่งเป็นขนมพื้นเมืองของเนเธอร์แลนด์นั้น เดิมไม่มีรูตรงกลาง แต่เป็นแป้งทอดมีรสหวานครับ บางครั้งโรยน้ำตาลด้วย มีชื่อภาษาดัตช์ที่แปลเป็นไทยว่า ขนมน้ำมัน (Oil Cake) ชาวยุโรปที่อพยพไปสหรัฐอเมริกาในต้นศตวรรษที่ 17 ได้นำขนมประเภทนี้ไปด้วยเนื่องจากขนมนี้มีรูปร่างกลมเล็กเท่าลูกวอลนัท ชาวนิงอิงแลนด์จึงเรียกขนมนี้ใหม่ว่า โดนัท (โด แปลว่า ก้อนแป้ง) ทั้งๆที่ขนมนี้ไม่มีถั่วเป็นส่วนประกอบเลย
                          รูตรงกลางโดนัทเพิ่งถือกำเนิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 เมื่อนายแฮนสัน เกรกอรี กัปตันเรือชาวเมืองรอคพอท รัฐเมนเจาะรูแป้งโดนัทที่มารดากำลังทอด เพราะคิดว่าการขยายพื้นผิวหน้าของขนมจะทำให้ทอดได้ง่ายขึ้น และแต่เดิมนั้น ตรงกลางของโดนัทมักจะแฉะ สุกไม่ทั่ว เมืองรอคพอทภาคภูมิใจในรูโดนัทมาก ถึงกับสร้างป้ายทองแดงจารึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้ เหตุการณ์นี้สอนให้รู้ว่า ในสหรัฐอเมริกา คนเราอาจมีชื่อเสียงได้โดยไม่ต้องคิดอะไรใหม่ๆ เลย เป็นไงครับจบอีกเรื่องแล้วเรื่อง โดนัท โชคดี สุขภาพแข็งแรงทุกท่านครับ...

ที่มาของคำว่า O.K.

             เคยสงสัยกันหรือเปล่าครับว่า คำว่า O.K.ที่เราพูดกันติดปากกันเป็นประจำมาจากคำเต็มในภาษาอังกฤษ จากคำว่าอะไร?
      คำว่า O.K. ย่อมาจากคำว่า Oll Korrect ซึ่งที่ถูกก็คือ All Correct แปลว่า "ถูกต้อง" และการใช้ O.K. นั้นก็แปลว่า ถูกต้อง ตกลง แน่นอน ใช้ได้ นั้นเอง ประวัติการใช้คำคำนี้ก็เนื่องจากว่ามีพ่อค้าอเมริกันคนหนึ่ง เป็นคนมีฐานะและตำแหน่งหน้าที่การงานดี เสียแต่พื้นฐานการศึกษาน้อย ไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องหนังสือมากนัก ทุกครั้งที่สั่งงานในใบสั่ง พ่อค้าผู้นี้ก็จะต้องเขียนลงในแผ่นกระดาษนั้นว่า Oll Korrect ซึ่งแปลว่าถูกต้องเสมอ ๆ
     นานเข้า กิจการค้าของเขาก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก งานติดต่อใบสั่งต่างๆ ท่วมท้นล้นมือ ที่โต๊ะของเขามีใบสั่งอยู่เป็นปึกๆ ถ้าจะเขียน Oll Korrect คำเต็มก็จะเสียเวลามาก เขาจึงย่อเหลือแค่คำสั้นๆว่า O.K. เท่านั้น ซึ่งมีผลเท่ากับ "อนุมัติ" กลายๆ นั้นเอง และเลยมีการใช้ติปากมาจนทุกวันนี้แหละครับ
         โชคดี สุขภาพดีแข็งแรง ทุกท่านครับ

ไฟหมุนร้านตัดผม

            มีใครสังเกตและสงสัยมั๊ยครับว่า ตามหน้าร้านตัดผมไม่ว่า หญิงหรือชาย ทำไมต้องมีไฟหมุนสีขาวแดงติดตั้งไว้ และเขาใช้ทำอะไร ติดไปทำไม?
            ไฟหมุนขาวแดงถือเป็นสัญลักษณ์ของร้านตัดผมที่เพิ่มความสวยงาม เด่นสะดุดตาแก่ผู้สัญจรไปมา ทั้งยังเป็นตัวบอกให้รู้ว่า ร้านนั้นกำลังเปิดหรือปิดบริการ ถ้าไฟขาวแดงหมุน แสดงว่าร้านเปิด แต่ถ้าไฟหยุดหมุน แสดงว่าร้านปิด ประโยชน์ในปัจุบันมีเท่านี้ และไม่มีการบังคับให้ทุกร้านต้องติดไฟหมุนดังกล่าวหรอกครับ แต่สำหรับสมัยก่อน ตามร้านตัดผมต้องติดไฟหมุนขาวแดงก็เพราะว่าช่างตัดผมฝรั่งโบราณจะเป็นศัลยแพทย์ด้วยในตัว จึงแขวน Barber'Pole ซึ่งเป็นเสาทาสีแดงขาวเป็นปล้องๆ ไว้หน้าร้าน เนื่องจากสีแดงหมายถึงเลือด สีขาวหมายถึงผ้าพันแผล ทุกวันนี้ ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าแถบสีขาวแดงอาจจะมีสีอื่นๆ เพิ่มขึ้นบ้างครับ...
                      สวัสดีครับ โชคดี สุขภาพแข็งแรง ทุกท่านครับ

หมาร้อน - ฮอตดอก (hotdog)

      มันไม่เกี่ยวกับหมามันร้อนอย่างไร? ที่ไหน?หรอกครับ...แต่ผมสงสัยว่า ฝรั่งทำไมจึงเรียกไส้กรอกประกบขนมปังว่า ฮอตดอก แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหมาหรือเปล่านะ....
       ฮอตดอก แปลตามตัวว่า "หมาร้อน" ครับ แต่ไส้กรอกประกบด้วยขนมปังที่เรียกว่าฮอตดอกนั้น ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหมา และไม่ได้เป็นอาหารที่คนอเมริกันคิดค้นขึ้นมาอย่างที่เรามักจะเข้าใจเลยครับ
       ลองอ่านกันดูครับว่าประวัติเป็นมาอย่างไร? อย่างน้อยก็เอาไว้ประดับความรู้ครับ  ประวัติของฮอตดอกเริ่มตั้งแต่สมัยบาบิโลเนียโน้น... คือเมื่อ 3,500 ปีที่แล้วมีลักษณะ เป็นเนื้อหมักเครื่องเทศ ยัดไว้ในไส้สัตว์ ชาวโรมันเรียกอาหารประเภทนี้ว่า Salsus ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของคำว่า Sausage หรือไส้กรอกในภาษาอังกฤษนั่นเองครับ...
       ในสมัยยุคกลาง เมืองต่างๆในยุโรปได้พัฒนาสูตร รสชาติ และรูปร่างของไส้กรอกของตนเอง และตั้งชื้อไส้กรอกตามชื่อเมืองที่เป็นถิ่นกำเนิด เช่น ไส้กรอกเวียนนา เป็นต้น
        ไส้กรอกของประเทศแถบเมดิเตอเรเนียมจะมีลักษณะแข็งและแห้งเพื่อไม่ให้ไส้กรอกบูดเสียได้ง่ายในอากาศร้อนแถบนั้นครับ ส่วนไส้กรอกของสก๊อตแลนด์นิยมยัดไส้ด้วยข้าวโอ๊ต มากกว่าจะใช้เนื้อหมูหรือเนื้อวัว
        ไส้กรอกที่เป็นที่นิยมกันมากที่สุดประเภทหนึ่งในเยอรมันนี หรือเรียกสั้นๆว่า แฟรงค์ มีขนาดหนา นุ่ม ใส่เครื่องเทศและรมควันอย่างดี มีรูปร่างโค้งเล็กน้อย คล้ายรูปร่างของสุนัขดัชชุนด์ จนบางคนเรียกไส้กรอกประเภทนี้ว่า ไส้กรอกดัชชุนด์ เล่ากันว่าผู้คิดไส้กรอกประเภทนี้เลี้ยงสุนัขดัชชุนด์ไว้หนึ่งตัว จึงเกิดความคิดว่าไส้กรอกที่มีรูปร่างเหมือนสุนัขตัวโปรดนี้จะเป็นที่นิยมของตลาดด้วย
    ชาวยุโรปที่อพยพไปสหรัฐอเมริกา ได้นำไส้กรอกแฟรงเฟอเตอร์ไปด้วย ไส้กรอกที่ประกบด้วยขนมปังเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นอาหารว่างยอดนิยมระหว่างดูกีฬา
     ในปี 1906 นักวาดการ์ตูนชื่อ โทมัส ดอร์แกน ได้แรงบันดาลใจจากรูปร่างที่โค้งงอคล้ายสุนัขดัชชุนด์ของไส้กรอก และจากเสียงพ่อค้า "เห่า" ตะโกนเรียกคนซื้อ จึงได้วาดรูปสุนัขดัชชุนด์ราดด้วยมัสตาร์ดประกบด้วยขนมปัง และเขียนบรรยายใต้รูปว่า "ซื้อหมาร้อนๆจ้า" ("Get your hot dogs!") เล่ากันว่าดอร์แกนไม่สามารถสะกดคำว่าดัชชุนด์ได้ถูกต้อง จึงใช้คำว่าหมา (dog)แทน ปรากฏว่าคำว่าฮอตดอกกลายเป็นคำที่ติดปากคนอเมริกันทั่วไป จนเลิกเรียกไส้กรอกด้วยคำอื่นๆ และยังทำใช้ชาวโลกคิดว่าฮอตดอกเป็นอาหารที่คนอเมริกันคิดขึ้นมาอีกด้วยครับ จบแล้วครับเรื่อง ฮอตดอก หมาร้อน คอยติดตามเรื่องต่อไปนะครับ โชคดี สุขภาพแข็งแรงทุกท่านครับ...สวัสดีครับ

สวนป่าแบบไทย...ไทย

      ผมขอแนะนำสวนป่าที่บ้านหน่อยนะครับ สวนนี้ภูมิใจมากครับจัดด้วยตัวเองและน้ำพักน้ำแรงจริงๆ  ก็หลายตังค์เหมือนกันนะครับ ส่วนมากจะซื้อต้นไม้ใหญ่ที่เขาล้อมมาจากต่างจังหวัดครับคือ ไม่อยากรอให้มันโตหน่ะครับ กว่าจะโต ออกดอก ออกผลไม่ทราบว่าจะรออีกนานสักกี่ปี ถึงจะโตเท่านี้เผลอจะมรณังซะก่อนนะสิ...พอซื้อบ้านทางหมู่บ้านได้แถมหญ้าญี่ปุ่น และต้นค๊อกเทล ผมขุดทิ้งหมดเลย ใจอยากได้สวนป่ามากกก...เลยเสาะหาต้นไม้ที่ปลูกแล้วได้อารมณ์สักหน่อย

ภาพตอนบ้านสร้างเสร็จใหม่ๆครับ
       ต้นแรกที่นำมาลงคือต้นแคนา สูงมากครับประมาณ 20 กว่าเมตรได้หน้าตัดก็หนึ่งคนโอบไม่มิดแหละครับ เขาใส่รถยกมาเลยครับ...ราคาก็ เอาเรื่องเหมือนกันครับ  ออกดอกสีขาวรูปทรงลำโพลงครับ แม่บ้านที่หมู่บ้านชอบมาเก็บ ไปลวกกิน อร่อยมากครับ
       ต้นที่สองคือต้นปีบ อยากได้ต้นปีปเพราะกลางคืนดอกจะหอมมาก เลยปลูกไว้ใกล้ๆห้องนอน นี้ก็ต้นใหญ่เหมือนกันนะ หน้า 8 เห็นจะได้ สูง 10 กว่าเมตรได้ (ต้นแคนาอยู่ด้านขวามือ ต้นปีบอย่าซ้ายมือครับ)
ต้นเสม็ดตอนปลูกใหม่ๆเอนลงบ่อปลาครับได้อารมณ์ดีครับ
       ต้นที่สามนี้ชอบมากครับได้อารมณ์ ปลูกอยู่ใกล้บ่อปลาคือต้นเสม็ดแดงครับ ลำต้นเอนลงไปด้านบ่อปลาได้อารมณ์มากครับ ลำต้นสีแดงสวยงาม ยอดไว้กินกับน้ำพริกหรือลาบได้ครับ
      แล้วผมก็ลงทีละต้น สองต้น ไม่ว่าจะเป็นต้นหว้าขี้นกต้นใหญ่ ต้นตะโก ต้นจิกสวน จิกนา ต้นกระโดน ต้นมะกอกน้ำ  ต้นชุมแสง ต้นจกนมยาน ต้นทองกวาว(ดอกจาน) ต้นหมากเขียว ต้นชำมะเรียง ฯลฯ อีกเยอะแยะมากมายครับ จนทุกวันนี้เป็นป่าสมใจอยาก ต้องขยันกวาดใบไม้หน่อยนะครับ ...แฮะ แฮะ...แต่ทำไงได้ใจมันชอบครับ



ตอนนี้ต้นเสม็ดแดงแตกใบร่มรื่นแล้วครับ
มุมนี้จะมองเห็นต้นจิกนมยานครับ(ใบใหญ่ด้านหลังโต๊ะนั้งครับ)ดอกหอมมากครับดอกจะบานตอนกลางคืน ดอกด้านล่างนี้แหละครับดอกของจิกนมยาน จะมีเฉพาะท้องถินครับสำหรับต้นนี้คือที่ จันทบุรี และแถวภาคใต้ครับ
     
      ผมว่าสวนแบบไทยๆเรานี้สุดยอดแล้วครับ ไม่ต้องตามกระแสเป็นสวนบาหลี สวนยุโรป หรือสวนญี่ปุ่นหรอกครับบ้านเรามันร้อนครับ ต้องร่มๆเย็นๆหน่อย (แต่ใครไม่ชอบก็ไม่ว่ากันนะครับ) แต่เวลาเดินก็มองพื้นหน่อยนะครับระวังจะเหยียบ... งู นะสิ
                    รูปมุมต่างๆในสวนครับ ตอนนี้ร่มรื่นค่อนข้างไปทางรกหน่อย ถ้าไม่มีเวลากวาดใบไม้ซักอาทิตย์  เยอะมากครับ ในบ่อปลาต้องขยันช้อนหน่อย
          บ่อปลาคร๊าฟราคาถูกครับ ซื้อปลาแพงๆไม่ไหวครับซื้อตามตลาดนัด ตัวละ 100-200 บาทก็สวยได้ครับ เลี้ยงไปเรื่อยๆ ก็ตัวโตเหมือนกันะครับ

         เป็นอย่างไรบ้างครับสวนผมน่านั้งดริ๊งมั๊ยครับ...แต่ตอนนี้ผมนั้งจิบน้ำชาแล้วครับ ไม่ดริ๊งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วครับ ถ้าใครว่างเว้นก็เชิญไปนั้งจิบน้ำชากันนะครับ โชคดี สุขแข็งแรงทุกท่านครับ